วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตัวเก็บประจุ (Capacitor)



 ตัวเก็บประจุ (Capacitor) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บประจุ (Charge) และสามารถคายประจุ (Discharge) ได้ นิยมนำมาประกอบในวงจรทางด้านไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ตัวอย่างเช่นวงจรกรองกระแส (Filter), วงจรผ่านสัญญาณ (By-pass), วงจรสตาร์ทเตอร์ (Starter), วงจรถ่ายทอดสัญญาณ (Coupling)ฯลฯ เป็นต้น ตัวเก็บประจุแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ แบบค่าคงที่ แบบเปลี่ยนแปลงค่าได้และแบบเลือกค่าได้ ตัวเก็บประจุเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคอนเดนเซอร์  หรือเรียกย่อ ๆ ว่าตัวซี (C) หน่วยของตัวเก็บประจุคือ ฟารัด (Farad)
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
  1. อธิบายรายละเอียดของตัวเก็บประจุแบบต่าง ๆ ได้
  2. อ่านค่าตัวเก็บประจุได้
  3. ตรวจสอบตัวเก็บประจุได้
  4. นำตัวเก็บประจุไปต่อในวงจรแบบต่าง ๆ ได้
หลักการเบื้องต้นของตัวเก็บประจุ
     ตัวเก็บประจุ (Capacitor) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บประจุ (Charge) และสามารถคายประจุ (Discharge)ได้โดยนำสารตัวนำ 2 ชิ้นมาวางในลักษณะขนานใกล้ ๆ กัน แต่ไม่ได้ต่อถึงกัน ระหว่างตัวนำทั้งสองจะถูกกั้นด้วยฉนวนที่เรียกว่าไดอิเล็กตริก (Dielectric) ซึ่งไดอิเล็กตริกนี้อาจจะเป็นอากาศ, ไมก้า, พลาสติก, เซรามิคหรือสารที่มีสภาพคล้ายฉนวนอื่น ๆ เป็นต้น โครงสร้างและสัญลักษณ์ ของตัวเก็บประจุแสดงดังรูปที่ 3.1
     จากรูปที่ 3.1 ข แสดงลักษณะโครงสร้างของตัวเก็บประจุ โดยที่ 1 หมายถึงจุดที่ต่อใช้งานกับวงจร 2 หมายถึงสารตัวนำที่เป็นแผ่นเพลท 3 หมายถึงฉนวนในที่นี้คืออากาศ ความจุทางไฟฟ้า เกิดจากการป้อนแรงเคลื่อนให้กับขั้วทั้งสอง ของจุดที่ต่อใช้งาน ของสารตัวนำซึ่งจะทำให้เกิดความต่างศักย์ทางไฟฟ้า สนามไฟฟ้าที่เกิดขึ้นบนสารตัวนำที่เป็นแผ่นเพลท จะทำให้เกิดค่าความจุทางไฟฟ้าขึ้น ลักษณะนี้เรียกว่าการเก็บประจุ (Charge) เมื่อต้องการนำไปใช้งานเรียกว่าการคายประจุ (Discharge) ประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นบริเวณแผ่นเพลท มีหน่วยเป็นคูลอมป์ (Coulomb) ส่วนค่าความจุทางไฟฟ้ามีหน่วยเป็นฟารัด(Farad) รายละเอียดดังกล่าวแสดงในรูปที่ 3.2
ปัจจัยที่มีผลต่อค่าการเก็บประจุ
ค่าความจุของตัวเก็บประจุจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตัวแปร 3 ประการคือ

  1. พื้นที่หน้าตัดของสารตัวนำที่เป็นแผ่นเพลท เขียนแทนด้วยอักษร A ถ้าพื้นที่หน้าตัดมากแสดงว่าสามารถเก็บประจุได้มาก ถ้าพื้นที่หน้าตัดน้อยแสดงว่าเก็บประจุได้น้อย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปนั้น จะประกอบไปด้วยตัวเก็บประจุขนาดเล็กและขนาดใหญ่จำนวนมาก ตัวเก็บประจุที่มีขนาดใหญ่จะเก็บประจุได้มากเพราะมีพื้นที่หน้าตัดมากนั่นเอง
  2. ระยะห่างระหว่างแผ่นเพลททั้งสอง เขียนแทนด้วยอักษร d ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กัน ความจุจะมีค่ามาก ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ไกลกันความจุจะมีค่าน้อย
  3. ค่าคงที่ไดอิเล็กตริก ค่าคงที่ของไดอิเล็กตริก เป็นค่าที่ใช้แสดงถึงความสามารถ ในการที่จะทำให้เกิดเส้นแรงแม่เหล็กขึ้น เมื่อนำวัสดุต่างชนิดกันมาทำเป็นฉนวนคั่นระหว่างแผ่นเพลท ค่าคงที่ของไดอิเล็กตริกแต่ละตัว จะแตกต่างกันออกไป ดังนั้นตัวเก็บประจุที่ใช้ไดอิเล็กตริกต่างกัน ถึงแม้จะมีขนาดเท่ากัน ค่าความจุและอัตราทนแรงดันอาจแตกต่างกันออกไป สุญญากาศเป็นไดอิเล็กตริกที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับวัสดุชนิดอื่น การจ่ายแรงเคลื่อนไฟฟ้ามากเกินพิกัด อาจทำให้ไดอิเล็กตริกสูญสภาพ จากฉนวนกลายเป็นตัวนำได้
ชนิดของตัวเก็บประจุ
ตัวเก็บประจุที่ผลิตออกมาในปัจจุบันมีมากมาย เราสามารถแบ่งชนิดของตัวเก็บประจุ ตามลักษณะทางโครงสร้าง หรือตามสารที่นำมาใช้เป็นไดอิเล็กตริก การแบ่งโดยใช้สารไดอิเล็กตริก เป็นวิธีการที่ค่อนข้างละเอียด เพราะว่าค่าไดอีเล็กตริกจะเป็นตัวกำหนดค่าตัวเก็บประจุตัวนั้น ๆ ว่าจะนำไปใช้งานในลักษณะใด ทนแรงดันเท่าใด แต่ถ้าหากแบ่งตามระบบเก่า ที่เคยแบ่งกันมาจะสามารถแบ่งตัวเก็บประจุได้เป็น 3 ชนิดด้วยกันคือ
  1. ตัวเก็บประจุแบบค่าคงที่ (Fixed Capacitor)
  2. ตัวเก็บประจุแบบปรับค่าได้ (Variable Capacitor)
  3. ตัวเก็บประจุแบบเลือกค่าได้ (Select Capacitor)
ตัวเก็บประจุแบบค่าคงที่ (Fixed Capacitor)
ตัวเก็บประจุแบบค่าคงที่ (Fixed Capacitor) คือตัวเก็บประจุที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้ โดยปกติจะมีรูปลักษณะเป็นวงกลม หรือเป็นทรงกระบอก ซึ่งมักแสดงค่าที่ตัวเก็บประจุ เช่น 5 พิโกฟารัด (PF) 10 ไมโครฟารัด (uF) แผ่นเพลทตัวนำมักใช้โลหะและมีไดอิเล็กตริกประเภท ไมก้า, เซรามิค, อิเล็กโตรไลติกคั่นกลาง เป็นต้น การเรียกชื่อตัวเก็บประจุแบบค่าคงที่นี้จะเรียกชื่อตามไดอิเล็กตริกที่ใช้ เช่น ตัวเก็บประจุชนิดอิเล็กโตรไลติก ชนิดเซรามิค ชนิดไมก้า เป็นต้น ตัวเก็บประจุแบบค่าคงที่มีใช้งานในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปมีดังนี้คือ
ตัวเก็บประจุชนิดอิเล็กโตรไลต์ (Electrolyte Capacitor)
ตัวเก็บประจุชนิดอิเล็กโตรไลต์ (Electrolyte Capacitor) เป็นที่นิยมใช้กันมากเพราะให้ค่าความจุสูง มีขั้วบวกลบ เวลาใช้งานต้องติดตั้งให้ถูกขั้ว โครงสร้างภายในคล้ายกับแบตเตอรี่ นิยมใช้กับงานความถี่ต่ำหรือใช้สำหรับไฟฟ้ากระแสตรง มีข้อเสียคือกระแสรั่วไหลและความผิดพลาดสูงมาก
ตัวเก็บประจุชนิดแทนทาลั่มอิเล็กโตรไลต์ (Tantalum Electrolyte Capacitor)
ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องการความผิดพลาดน้อย ใช้กับไฟฟ้ากระแสตรง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มักจะใช้ตัวเก็บประจุชนิดแทนทาลั่มอิเล็กโตรไลต์ แทนชนิดอิเล็กโตรไลต์ธรรมดา เพราะให้ค่าความจุสูงเช่นกัน โครงสร้างภายในประกอบด้วยแผ่นตัวนำ ทำมาจากสารแทนทาลั่ม และแทนทาลั่มเปอร์ออกไซค์อีกแผ่น นอกจากนี้ยังมีแมงกานิสไดออกไซค์ เงิน และเคลือบด้วยเรซินดังรูปที่ 3.4
ตัวเก็บประจุชนิดไบโพล่าร์ (Bipolar Capacitor)
นิยมใช้กันมากในวงจรภาคจ่ายไฟฟ้ากระแสตรง เครื่องขยายเสียง เป็นตัวเก็บประจุจำพวกเดียวกับ ชนิดอิเล็กโตรไลต์ แต่ไม่มีขั้วบวกลบ บางครั้งเรียกสั้น ๆ ว่าไบแคป
ตัวเก็บประจุชนิดเซรามิค (Ceramic Capacitor)
เป็นตัวเก็บประจุที่มีค่าไม่เกิน 1 ไมโครฟารัด (mF) นิยมใช้กันทั่วไปเพราะมีราคาถูก เหมาะสำหรับวงจรประเภทคัปปลิ้งความถี่วิทยุ ข้อเสียของตัวเก็บประจุชนิดเซรามิคคือมีการสูญเสียมาก
ตัวเก็บประจุชนิดไมลาร์ (Mylar Capacitor)
เป็นตัวเก็บประจุที่มีค่ามากกว่า 1 ไมโครฟารัด (mF) เพราะฉะนั้นในงานบางอย่างจะใช้ไมลาร์แทนเซรามิค เนื่องจากมีเปอร์เซนต์ความผิดพลาดและการรั่วไหลของกระแสน้อยกว่าชนิดเซรามิค เหมาะสำหรับวงจรกรองความถี่สูง วงจรภาคไอเอฟของวิทยุ,โทรทัศน์ ตัวเก็บประจุชนิดไมลาร์จะมีตัวถังที่ใหญ่กว่าเซรามิคในอัตราทนแรงดันที่เท่ากัน
ตัวเก็บประจุชนิดฟีดทรู (Feed-through Capacitor)
ลักษณะโครงสร้างเป็นตัวถังทรงกลมมีขาใช้งานหนึ่งหรือสองขา ใช้ในการกรองความถี่รบกวนที่เกิดจากเครื่องยนต์มักใช้ในวิทยุรถยนต์
ตัวเก็บประจุชนิดโพลีสไตรีน (Polystyrene Capacitor)
เป็นตัวเก็บประจุที่มีค่าน้อยระดับนาโนฟารัด(nF) มีข้อดีคือให้ค่าการสูญเสียและกระแสรั่วไหลน้อยมาก นิยมใช้ในงานคัปปลิ้งความถี่วิทยุและวงจรจูนที่ต้องการความละเอียดสูง จัดเป็นตัวเก็บประจุระดับเกรด A
ตัวเก็บประจุชนิดซิลเวอร์ไมก้า (Silver Mica Capacitor)
เป็นตัวเก็บประจุที่มีค่า10 พิโกฟารัด (pF) ถึง 10นาโนฟารัด (nF) เปอร์เซนต์ความผิดพลาดน้อย นิยมใช้กับวงจรความถี่สูง จัดเป็นตัวเก็บประจุระดับเกรด A อีกชนิดหนึ่ง
ตัวเก็บประจุแบบปรับค่าได้ (Variable Capacitor)
ตัวเก็บประจุแบบปรับค่าได้ (Variable Capacitor) ค่าการเก็บประจุจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนที่ของแกนหมุน โครงสร้างภายในประกอบด้วย แผ่นโลหะ 2 แผ่นหรือมากกว่าวางใกล้กัน แผ่นหนึ่งจะอยู่กับที่ส่วนอีกแผ่นหนึ่งจะเคลื่อนที่ได้ ไดอิเล็กตริกที่ใช้มีหลายชนิดด้วยกันคือ อากาศ, ไมก้า, เซรามิค และพลาสติก เป็นต้น
ตัวเก็บประจุแบบปรับค่าได้อีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีคือทริมเมอร์และแพดเดอร์(Trimmer and Padder) โครงสร้างภายในประกอบด้วยแผ่นโลหะ 2 แผ่นวางขนานกัน ในกรณีที่ต้องการปรับค่าความจุ ให้ใช้ไขควงหมุนสลักตรงกลางค่าที่ปรับจะมีค่าอยู่ระหว่าง 1 พิโกฟารัด(pF) ถึง 20 พิโกฟารัด (pF) การเรียกชื่อตัวเก็บประจุแบบนี้ว่าทริมเมอร์หรือแพดเดอร์นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปต่อในลักษณะใด ถ้านำไปต่อขนานกับตัวเก็บประจุตัวอื่นจะเรียกว่า ทริมเมอร์ แต่ถ้านำไปต่ออนุกรมจะเรียกว่า แพดเดอร์
ตัวเก็บประจุแบบเลือกค่าได้ (Select Capacitor)
ตัวเก็บประจุแบบเลือกค่าได้ (Select Capacitor) คือตัวเก็บประจุในตัวถังเดียว แต่มีค่าให้เลือกใช้งานมากกว่าหนึ่งค่าดังแสดงในรูปที่ 3.6
หน่วยความจุ
     ค่าความจุของตัวเก็บประจุหมายถึงความสามารถในการเก็บประจุไฟฟ้ามีหน่วยเป็นฟารัด(Farad) เขียนแทนด้วยอักษรภาษาอังกฤษตัวเอฟ (F) ตัวเก็บประจุที่มีความสามารถในการเก็บประจุได้ 1 ฟารัดหมายถึงเมื่อป้อนแรงเคลื่อนจำนวน 1 โวลท์ จ่ายกระแส 1 แอมแปร์ ในเวลา 1 นาที ให้กับแผ่นเพลททั้งสอง สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้ 1 คูลอมบ์  ในงานไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์จะไม่ค่อยนิยมใช้ตัวเก็บประจุที่มีค่ามากเป็นฟารัด เพราะฉะนั้นค่าของตัวเก็บประจุที่พบในวงจรต่าง ๆ จึงมีค่าเพียงไมโคร นาโน และพิโกฟารัด ค่าต่าง ๆ สามารถแสดงค่าได้ดังนี้์
จากความสัมพันธ์ของค่าการเก็บประจุ ประจุไฟฟ้าและแรงดัน สามารถเขียนเป็นสูตรความสัมพันธ์ได้ดังนี้คือ
ค่าความจุจะพิมพ์ติดไว้บริเวณตัวเก็บประจุ ตัวอย่างเช่น 100 V 150 uF  ,  10 uF 50 V 0.01 uF ตัวเก็บประจุบางตัวแสดงค่าเป็นรหัสตัวเลข เช่น 103 วิธีการอ่านค่าจะใช้วิธีเดียวกับการอ่านค่าแถบสีตัวต้านทาน สีที่ 1 และ 2 จะเป็นตัวตั้ง ส่วนสีที่ 3 หมายถึงตัวคูณ แล้วอ่านค่า เป็นหน่วยพิโกฟารัด จากในรูปที่ 3.7 เขียนตัวเลข 103 บนตัวเก็บประจุจะอ่านค่าได้ 10 และเติม 0 ไปอีก 3 ตัว ทำให้ได้ค่า 10,000 pF หรือมีค่าเท่ากับ 0.01 uF
การอ่านค่าความจุ
การอ่านค่าความจุสามารถกระทำได้ตามวิธีที่อธิบายดังกล่าว แต่ในปัจจุบันตัวเก็บประจุได้ผลิตออกมามากมาย วิธีการอ่านก็มีหลากหลายวิธีมาก ดังนั้นผู้เขียนจะแสดงรูปและอธิบายวิธีการอ่านแต่ละตัวพอสังเขป เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาต่อไป นอกจากนี้ตัวเก็บประจุได้แสดงค่าผิดพลาด และอัตราทนแรงดันไว้บนตัวเป็นอักษรภาษาอังกฤษเอาไว้แต่ละตัวมีความหมายดังนี้คือ
หน่วยความจุที่ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยพิโกฟารัดและไมโครฟารัด เมื่ออ่านค่าเป็นพิโกฟารัด และต้องการแปลงเป็นหน่วยไมโครฟารัด สามารถทำการเทียบหน่วยจาก 1,000,000 พิโกฟารัดเท่ากับ 1 ไมโครฟารัดแล้วเทียบค่าออกมา ดังนี้
ในกรณีที่ตัวเก็บประจุแสดงค่าเป็นแถบสีนิยมใช้กับตัวเก็บประจุชนิดแทนทาลั่มซึ่งจะมีแบบ 3 แถบสี และ 5 แถบสี วิธีการอ่านก็จะคล้าย ๆ กับการอ่านค่าแถบสีของตัวต้านทาน ผู้เขียนจะแสดงรูปและอธิบายวิธีการอ่านแต่ละตัวพอสังเขป เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาต่อไปดังนี้
การต่อวงจรใช้งาน
การต่อวงจรตัวเก็บประจุมีอยู่ 3 แบบคือ วงจรอนุกรม, วงจรขนาน และวงจรผสม ในรายละเอียดบางอย่างอาจจะไม่เหมือนกับการต่อตัวต้านทาน เพราะฉะนั้นผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจการต่อทั้ง 3 แบบ ดังนี้
1. วงจรอนุกรม
การต่อวงจรอนุกรม คือการนำเอาตัวเก็บประจุตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมาต่ออนุกรมหรืออันดับ การต่อลักษณะนี้จะทำให้พื้นที่รวมของแผ่นเพลทลดลง แต่ความหนาของไดอิเล็กตริกจะเพิ่มขึ้น มีผลทำให้การเก็บประจุรวมมีค่าน้อยลง อัตราทนแรงไฟมากขึ้น ค่าการเก็บประจุรวมหาได้จากสูตร
2. วงจรขนาน
การต่อวงจรขนาน คือการนำเอาตัวเก็บประจุมาต่อขนานกัน การต่อลักษณะนี้จะทำให้พื้นที่รวมของแผ่นเพลทเพิ่มขึ้น มีผลทำให้การเก็บประจุรวมมีค่าเพิ่มขึ้นด้วย อัตราทนแรงไฟ(WV) สูงสุดของวงจรมีค่าเท่ากับตัวที่มีอัตราทนแรงไฟน้อยที่สุด ค่าการเก็บประจุรวมคำนวณจากการรวมพื้นที่ของแผ่นเพลททุกแผ่นรวมกันหาได้จากสูตร
3. วงจรผสม
การต่อวงจรผสมคือการนำเอาตัวเก็บประจุมาอนุกรมและขนานในวงจรเดียวกัน
การตรวจสอบตัวเก็บประจุ
การตรวจสอบตัวเก็บประจุว่าดีหรือเสียนั้นจะใช้มัลติมิเตอร์แบบเข็มวัดตัวเก็บประจุที่มีค่าตั้งแต่ 1 ไมโครฟารัดขึ้นไป ในกรณีที่ค่าน้อยกว่า 1 ไมโครฟารัดเข็มมิเตอร์จะเปลี่ยนแปลงน้อย ทำให้ดูยาก วิธีการวัดนั้นเริ่มจากปรับมัลติมิเตอร์ไปที่ย่าน R X 1K  แล้วนำสายมิเตอร์ไปสัมผัสที่ขาของตัวเก็บประจุ ในกรณีที่ตัวเก็บประจุมีขั้วต้องวัดให้ถูกขั้วด้วย  แล้วสังเกตเข็มมิเตอร์ดังนี้
  1. วัดแล้วเข็มชี้ไปทางขวามือ ถ้าความจุมากเข็มจะชี้ไปมาก รอเวลาระยะหนึ่ง เข็มมิเตอร์จะตกกลับมาทางซ้ายเหมือนเดิม อย่างนี้แสดงว่าใช้งานได้
  2. วัดแล้วเข็มไม่ขึ้น ถ้าสลับสายมิเตอร์แล้วยังไม่ขึ้นอีก แสดงว่าตัวเก็บประจุขาด
  3. วัดแล้วเข็มขึ้นค้าง ถ้าสลับสายมิเตอร์แล้วยังเหมือนเดิม แสดงว่าตัวเก็บประจุรั่ว
  4. เข็มชี้ไปทางขวาสุดแล้วค้าง แสดงว่าตัวเก็บประจุช็อต
การวัดค่าต่าง ๆ เช่น ความจุ ความต้านทาน แรงดัน และค่าคงที่ไดอิเล็กตริก สามารถใช้เครื่องมือทดสอบตัวเก็บประจุวัดค่าได้ ในรูปที่ 3.8 คือเครื่องมือที่ชื่อว่ายูนิเวอร์แซลแอลซีอาร์มิเตอร์ (Universal LCR Meter) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัด ทดสอบ วิเคราะห์ค่าของตัวเก็บประจุ และตัวเหนี่ยวนำ

การจูน สัญญาณจานดาวเทียม


   

1.กดMENU ใส่รหัสผ่าน 0000
           

              
              2. เลือกการติดตั้งรายการกดOK
              จานดาวเทียม,จานดาวเทียมนนทบุรี,ขายส่งจานดาวเทียม.ติดตั้งจานดาวเทียม
              3. เลือกค้นหาอัตโนมัติกดOK
              จานดาวเทียม,จานดาวเทียมนนทบุรี,ขายส่งจานดาวเทียม.ติดตั้งจานดาวเทียม
              4. เลือกเป็นทั้งหมดกดOK
               จานดาวเทียม,จานดาวเทียมนนทบุรี,ขายส่งจานดาวเทียม.ติดตั้งจานดาวเทียม
               5.เครื่องกำลังทำการค้นหาช่องรายการใหม่ๆมาต่อช่องที่อยู่ท้ายสุดของเดิม
               จานดาวเทียม,จานดาวเทียมนนทบุรี,ขายส่งจานดาวเทียม.ติดตั้งจานดาวเทียม
               6.รอประมาณ5นาทีจนเสร็จสิ้นและให้กดปุ่ม EXITออกไปจนเจอภาพ
                จานดาวเทียม,จานดาวเทียมนนทบุรี,ขายส่งจานดาวเทียม.ติดตั้งจานดาวเทียม
               

การติดจานดาวเทียมดำหัวเดียว


การเช็คคุณภาพสัญญาณเครื่องรับ ให้กด INFO ดูแค่ช่อง YOU  3960 V 30000 เท่านั้น
แล้วช่องอื่นจะมาเอง
การติดจานดาวเทียมดำหัวเดียว 

รูปนี้ใช้กับจานดาวเทียมที่ไม่ใช่ยี่ห้อ PSI เช่น Dyna, Infosat ,Idea sat ,Thaisat
 
1.หาทำเลที่ตั้งจานดาวเทียมก่อน โดยการหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 240 องศาแล้วสำรวจว่าในทิศทางนี้ มีอะไรที่จะบังหน้าจานหรือไม่
 
 
หากติดตั้งจานตามรูปนี้ตัวบ้านและต้นไม้
จะบังมุมรับสัญญาณทำให้รับสัญญาณไม่ได้
จานดาวเทียมที่จะติดตั้ง จะต้องไม่มีสิ่งใด
บังในทิศทางที่จะรับสัญญาณดาวเทียม
 
2. ทำการตั้งเสาจานเพื่อตั้งใบจานดาวเทียม โดยต้องยึดเสาจานดาวเทียมให้แน่นโดยการใช้พุ๊กฝังยึดติดกับพื้น และต้องปรับองศาตัวเสาให้ทำมุม 90 องศา ทั้ง4 ด้าน โดยใช้ ที่วัดมุมแบบแม่เหล็ก Angle Level ในการวัดและปรับ
3. ประกอบใบจานดาวเทียม โดยทำตามวิธีต่อไปนี้
 
ร้อยน๊อตพร้อมแหวนที่จุด 3,4 ยกเว้นจุดที่ 2 เพื่อความง่ายให้นำกล่อง mounting มารองจาน 
ทำทั้ง 2 ชิ้นให้ติดกัน (ใช้มือหมุนยังไม่ต้องใช้ประแจขัน) 
 
รวมอุปกรณ์คอจาน mounting มาประกอบให้เป็นชิ้นเดียว 4 ตัวยาวใส่ตรงประกับคอ 2 ตัวสั้นใส่ตรงจุดหมุน 
 
รูปคอจาน mounting ที่ประกอบเสร็จแล้ว (อย่าลืมนำฝาออกมาก่อน) จะใช้หลังจากประกอบขา feed แล้ว
ใส่คอจาน mounting ลงไปตรงกลางใบจานและใส่น๊อตในรูที่เหลือ ใช้ประแจเบอร์ 10 และ 11 เพื่อขันน๊อตให้ตึงมือพอ (ถ้ามากเกินไปจะทำให้อลูมิเนียม โก่งตัวทำให้จานเสียได้)
 
ก้านติดหัว LNB ให้นำขา feed ออกจากเสา และนำ scarlar ring มาประกอบเข้าด้วยกันโดย 2 รูขา feed ติดกับ scarlar ring
ใส่ฐานรองหมวกพลาสติกดำก่อน ใส่น๊อตที่ติดมากับ LNB 
เมื่อประกอบเสร็จ จะได้ดั่งในรูป
 
 
ใส่ขา feed มาประกอบกับใบจาน และจะต้องนำฝาปิดมาประกอบด้วย (ตรงจุดนี้ต้องใส่แค่พอตึงมือเท่านั้น)
เพราะถ้าแน่นเกินไปจะทำให้ curve ของจานเสียรูปทรง 
 
 
 ใส่ LNB โดยช่วงลึก LNB ลึกประมาณระดับตัวเลข 38 ที่พ้นออกมาเห็น
 
 
สมมุติให้มองหน้าจานเป็น นาฬิกา มาร์ก 0 ของ LNBเป็นเข็มนาฬิกา
ถ้ายี่ห้อ Dynasat , IDEA CHUN , INFOSAT ,MAZZ
ให้บิดไปอยู่ที่ประมาณ 7 โมง
 

ถ้านาฬิกา มาร์ก 0 หรือ เลข 180  ของ LNB ยี่ห้อ PSI , Samart ,ATM
ให้บิดไปอยู่ที่ประมาณ 4 โมงเย็น หรือเลข 240 ชี้ลงพื้น
 
 
 
ใส่สายสัญญาณเข้ากับ LNB และ ปลายอีกด้านต่อกับ เครื่อง receiver ส่ายจานหาสัญญาณ
 
 
4. เสียบ AV IN เปิดทีวี กด OKที่ช่องอะไรก็ได้ที่มีใช้ในปัจจุบัน แต่ ควรใช้ช่อง FANTV  คลื่น 3545 V 30000 แล้วกดปุ่มสีเหลืองทิ้งไว้ เพื่อดู Quality (คุณภาพ) ขณะปรับหน้าจาน
 
 
 
 
5. หันหน้าจานดาวเทียมไปหาทิศใต้ หาทิศใต้เจอแล้ว ให้เอียงไปทางขวามือ ถ้าทิศใต้ให้เป็น 270 องศา ไทยคมจะอยู่ประมาณ 240 องศา ครับ
 
 
 
6. หันส่ายจาน ช้าๆ ขดเป็นงูแกว่งไปมา ให้เจอสัญญาณ จะสังเกตได้จากบรรทัดล่างจะมี qualityคุณภาพ (สีเหลือง) กับ ความแรงlevel (สีน้ำเงิน) สีเหลืองจะขึ้นก็ต่อเมื่อเจอสัญญาณดาวเทียม เส้นสีน้ำเงินคือความแรงไฟที่ต่อกับ LNB แล้วหรือยังขนาดสายยาวพอไหม เพราะฉะนั้น ส่ายจานจนกระทั้งเจอเส้นสีเหลืองขึ้นแล้วล็อกคอ ทุกน๊อต ให้แข็ง
  
7. พอได้สัญญานมาพอสมควรหลังจากนั้นก็กดจานให้ก้มจากด้านบนว่าสัญญาณสีเหลืองขึ้นหรือเปล่าหรือดึงให้หงายขึ้น ว่าสัญญาณขึ้นอีกไหม ถ้าขึ้นก็คลายให้จานมันอยู่ที่ตำแหน่งที่แรงที่สุด แล้วก็ทำแบบเดิมแต่เป็นด้านซ้ายกับขวาหาจุดแรงที่สุด ล็อกคอจานให้แข็ง เท่านี้เราก็จะได้จานดาวเทียมที่หันไปไทยคม5แล้วครับ
 
8. เปลี่ยนช่องไปช่อง TEN TV กดปุ่มสีเหลือง เพื่อเช็ค Quality แล้วให้ปรับ LNB แบบละเอียดเพื่อให้ได้ Quality มากที่สุด โดยตามมาตรฐานแล้ว จานขนาด 5" คุณภาพไม่ควรต่ำกว่า 42 จานขนาด 5.5"คุณภาพไม่ควรต่ำกว่า 56
  
9. เสร็จแล้วเช็คช่อง Ten TV ว่ามีสัญญาณพอหรือไม่ เพื่อที่เวลาทำ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในการทำ OTA
 
 
 
10. เช็คสัญญาณ ช่อง แฟชั่นอินเดีย  ด้วย เพื่อป้องกันการมีปัญหารับชมในภายหลัง